“คาเวียร์” ใครหลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้กันมาบ้างทั้งจากหนัง ละคร หรือในรายการอาหารตามช่องโทรทัศน์ต่างๆ หลายๆ สื่อที่เราได้รับชมนั้น ต่างก็ออกมาพูดกันถึงความแพง และความเอร็ดอร่อยของการรับประทานไข่ปลาคาเวียร์ ซึ่งในส่วนนี้นั้นต้องยอมรับเลยว่า ไข่ปลาคาเวียร์นั้น เป็นอาหารที่ถูกพูดถึง และมักจะเป็นที่นิยมในการรับประทานอาหารของกลุ่มคนในสังคมที่เรียกตนเองว่าเป็น “สังคมชนชั้นสูง” หรือ สังคมคนมีเงิน
ซึ่งนั้นก็ไม่แปลกอะไรเพราะ คาเวียร์ นั้นมีราคาสูงเป็นอย่างมากในท้องตลาด ซึ่งเราสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ บางที่เท่านั้นโดย คาเวียร์ นั้นปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 200,000 – 300,000 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นว่า คาเวียร์ นั้น คืออะไรกันแน่ แล้วทำไมมันถึงได้เป็นอาหารที่มีราคาแพงขนาดนี้
คาเวียร์ หรือ ไข่ปลาคาเวียร์ ถือได้ว่าเป็นอาหารที่มีราคาแพงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ตามความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นอาจคิดว่า คาเวียร์ หรือไข่ปลาคาเวียร์นั้น คือชื่อเรียกของ ไข่ – ปลาคาเวียร์ ซึ่งความเข้าใจนี้นั้น ผิด ในความจริงแล้ว คาเวียร์ หรือ ที่ใครหลายคนเรียกว่า ไข่ปลาคาเวียร์นั้น คำว่า คาเวียร์ ถือได้ว่าเป็นชื่อเมนูเพียงเท่านั้น เพราะคาเวียร์ เป็นการนำเอาไข่ปลาของกลุ่มปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาสเตอร์เจียน มาทำการหมักเข้ากับเกลือเพียงเท่านั้น
สำหรับวงศ์ของปลาสเตอร์เจียนนั้น ปัจจุบันมีการจดบันทึกเอาไว้ได้ว่ามีทั้งหมดมากถึง 27 ชนิด โดยทั้ง 27 ชนิดนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สกุลหลักๆ นั้นก็คือ ปลาฮูโซ่ ที่สามารถพบได้มากในรัสเซีย โดยปลาฮูโซ่ นั้นก็ถือได้ว่าเป็นปลาที่ให้รสชาติของการนำมาทำเป็นวัตถุดิบเมนู คาเวียร์ได้ดีเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยปลาฮูโซ่ นั้นถือได้ว่าเป็นปลาที่สามารถมีน้ำหนักได้สูงถึง 900 กิโลกรัม มีอายุสูงถึง 20 ปี ด้วย 2 เหตุผลนี้เองจึงทำให้เมนูคาเวียร์ที่ทำมาจากไข่ปลาฮูโซ่นั้นมีราคาที่แพงติดอันดับโลกเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้แล้วในประเทศไทย ยังเคยมีการประกาศการทดลองเลี้ยง ปลาที่อยู่ในวงศ์ของปลาสเตอร์เขียนในประเทศอีกด้วย โดยครั้งนั้นเป็นการนำมาทดลองเลี้ยงอยู่ภายในหน่วยงานวิจัยประมงบนพื้นที่สูงดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง และศูนย์วิจัย และพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ อำเภอสันทราย โดยผ่านโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั้นเอง ซึ่งผลการดำเนินการนั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี และในครั้งนั้น ปลาสเตอร์เจียนที่ได้นำเข้ามาเพาะเลี้ยงในประเทศไทยก็คือ ปลาสเตอร์เจียนไซบีเรีย
ปลาสเตอร์เจียน มีลักษณะเด่นอยู่หลายต่อหลายส่วน ทั้งในเรื่องของการที่มีหนามแหลมอยู่บริเวณหลัง หัว และข้างลำตัวของปลาสเตอร์เจียน หนามแหลมเหล่านี้นั้นเกิดจากการวิวัฒนาการเพื่อใช้ป้องกันตัวจากสัตว์อื่นๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายมันนั้นเอง เหตุเพราะว่าบริเวณลำตัวของมันนั้นไม่มีเกล็ดที่จะป้องกัน
อีกทั้งยังมีหนวดอยู่ที่บริเวณปลายจมูกของตัวปลา ที่หัวปลา มีลักษณะแหลมออกมา ปากจะยาวออกไปอยู่ใต้ลำตัว ไม่มีฟันแหลมคม แต่รูปร่างของปลาจะมีลักษณะคล้ายกับปลาฉลาม ดวงตาเล็ก ทำให้หนวดของปลาสเตอร์เจียนนั้นวิวัฒนาการให้สามารถรับคลื่นกระแสไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เพื่อใชสำหรับช่วยในการสัมผัส และรับรู้สึกสิ่งที่อยู่ด้านหน้า และด้านใต้ของลำตัวนั้นเอง
คาเวียร์ หากเราพูดเรื่องของคาเวียร์ในศตวรรษที่ 19 เราคงได้ยินคนยุคนั้นบอกว่า คาเวียร์ ก็แค่อาหารหมูธรรมดาๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา และยุโรป รวมถึงเอเชีย ไม่มีใครให้ค่าหรือสนใจคาเวียร์มาก่อนเสียด้วยซ้ำ ไข่ของปลากลุ่มปลาสเตอร์เจียนนั้นถือได้ว่ายังสามารถหารับประทานได้ง่าย และมีจำนวนที่มากกว่าในสมัยนี้มากนัก คนในยุคนั้นเมื่อได้มา เมื่อรับประทานไม่หมด หรือเบื่อก็มักจะนำไปแจกต่อให้กับเพื่อนบ้าน หรือบางทีก็นำไปเป็นอาหารสัตว์
แน่นอนว่าเมื่อสินค้าชิ้นไหนที่มีจำนวนที่น้อยลง และมีความต้องการมากขึ้น สินค้านั้นมักจะแพงยิ่งขึ้น คาเวียร์ ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสินค้านั้น เมื่อคนเริ่มมีการแจกจ่ายเยอะขึ้น คนก็ได้รับการลิ้มรส และติดใจมากขึ้น ปลาในกลุ่มของปลาสเตอร์เจียนจึงได้ถูกล่าเพื่อนำมาทำเป็นคาเวียร์มายิ่งขึ้นนั้นเอง จนปลาในกลุ่มของปลาสเตอร์เจียนนั้น ค่อยๆ หายไปจนเหลือน้อยลง
มาถึงตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คาเวียร์ นั้นมีความคล้ายคลึงกับหูฉลามเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าหากเราลองมอง และคิดดูดีๆ แล้วละก็การรับประทาน คาเวียร์ นั้นถือได้ว่าเป็นการทำลาย และสร้างผลกระทบให้กับธรรมชาติมากกว่าการรับประทานหูฉลามอย่างเทียบไม่ติด เพราะการรับประทานหูฉลามนั้นเราจะได้รับประทานก็ต่อเมื่อฉลามนั้นมีอายุที่โตพอที่หูฉลามนั้นจะสามารถนำมาขายได้ และในช่วงเวลาที่ฉลามโต ฉลามอาจจะมีโอกาสที่จะวางไข่เพื่อสืบทอดสายพันธุ์ของตนเองต่อไป
แต่ในทางกลับกัน การรับประทานอาหารเมนู “คาเวียร์” นั้น เป็นการรับประทานอาหารที่มุ่งเน้นไปที่ไข่ปลาโดยตรง ปลาที่กำลังจะลงการขยายพันธุ์นั้น กลับต้องถูกเอาชีวิต และหมดโอกาสที่จะขยายพันธุ์เพื่อรักษาเผาพันธุ์ของตนเอง ปัจจุบันมีรายงานว่า ปลาในกลุ่มของปลาสเตอร์เจียน เข้าขั้นวิกฤติของการใกล้สูญพันธุ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บ สล็อต
@PGS88PLAY
PGS88PLAY